คน สัตว์ พืชพันธุ์ และสิ่งแวดล้อม: ความเกี่ยวข้องที่สัมพันธ์พึ่งพากัน

คำนำ

มนุษย์ สัตว์และพืชพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อาศัยอยู่ร่วมกันในโลกมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ แม้ว่าจะมีอะไรหลายอย่างแตกต่างกัน แต่ก็มีอะไรหลายอย่างเหมือนกัน โดยอาศัยธรรมชาติในการดำรงชีวิตเหมือนกัน ทั้งอากาศ น้ำ และทรัพยากรอื่น ๆ  ที่สำคัญทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ต่างก็มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันอีก  ดังนั้น มนุษย์ สัตว์และพืชพันธุ์ต่าง ๆ จึงมีความเป็นมาและเชื่อมโยงเกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกันมาตลอดตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สัตว์และพืชต่างไม่เคยระรานมนุษย์ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ระรานทั้งสัตว์ และพืชอย่างไม่บันยะบันยัง ทั้งนี้เพื่อตอบสนองกิเลสความต้องการอันเป็นผลประโยชน์ส่วนตน  มนุษย์เราคงต้องเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมของตนที่มีต่อทั้งสัตว์และพืช เพื่อทั้งหมดจะได้ดำรงชีพอยู่ในโลกได้อย่างยั่งยืน

 

กำเนิดของมนุษย์และสิ่งมีชีวิต

บทแรกและบทที่สองของหนังสือปฐมกาล ในพระคัมภีร์ภาคพระธรรมเก่าของคริสต์ศาสนา ระบุไว้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกจากความว่างเปล่า สร้างความสว่าง และแยกออกจากความมืดในวันที่หนึ่งของการสร้าง สร้างฟ้าและแยกน้ำออกจากฟ้าในวันที่สอง ให้น้ำมารวมในที่เดียวกันเป็นทะเลและแผ่นดินก็เกิดขึ้น และทรงสร้างพืชพันธุ์ต่าง ๆ รวมทั้งไม้ผลในวันที่สาม ทรงสร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในวันที่สี่ ทรงสร้างนก สัตว์ทะเล ในวันที่ห้า ทรงสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่า รวมทั้งมนุษย์ ในวันที่หก ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์ และทรงอวยพรมนุษย์ให้ทวีจำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน ให้ปกครองแผ่นดิน เป็นนายเหนือปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทุกชนิด ทรงให้ข้าวทุกชนิดและผลไม้เป็นอาหาร ส่วนบรรดาสัตว์ป่า นกในท้องฟ้า และสัตว์เลื้อยคลานนั้น พระองค์ทรงให้หญ้าเขียวเป็นอาหาร แล้วพระองค์ยังมอบหมายภาระหน้าที่ให้มนุษย์เพาะปลูกและดูแลสวน ซึ่งหมายถึงการดูแลเอาใจใส่ทั้งพืชและสัตว์ นี่คือสายสัมพันธ์ระหว่างคน สัตว์ และพืชพันธุ์ต่าง ๆ ในโลก

ในขณะเดียวกัน จากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ มีการค้นพบว่า ชีวิตทั้งมวลในโลกเกิดมาจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวในทะเลตั้งแต่ในยุคดึกดำบรรพ์เมื่อประมาณ 3,800 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งโดยเริ่มต้นจากปฏิกิริยาของก๊าซต่าง ๆ และความร้อนจนเกิดเป็นกรดอินทรีย์ ซึ่งต่อมาก็เกิดการรวมตัวกันเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ขึ้น และวิวัฒนาการต่อไปจนเกิดเป็นโปรโตเซลล์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเซลล์ มีโครงการของผนังเป็นไขมันและโปรตีน จนเป็นโปรโตเซลล์ ทำหน้าที่เป็นทั้งสารพันธุกรรมและเอนไซม์ และวิวัฒนาการกลายเป็นเซลล์เริ่มแรกของสิ่งมีชีวิตที่สามารถเพิ่มจำนวนหรือสืบพันธุ์ได้  สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่เกิดขึ้นนี้ ก็วิวัฒนาการเป็นเซลล์ประกอบกันหลากหลายเซลล์มากขึ้น มีกายภาพที่หลากหลายมากขึ้น แยกเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ กลายเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย จากที่ไม่มีกระดูกสันหลัง มามีกระดูสันหลัง จากสัตว์น้ำขึ้นบกเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และนกชนิดต่าง ๆ พืชก็พัฒนาจากเซลล์ ๆ เดียว มาเป็นหลายเซลล์ มาเป็นพืชประเภทเชื้อรา เป็นสาหร่าย แล้วขึ้นบกเป็นพืชล้มลุกและพืชยืนต้นในที่สุด สำหรับมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน แยกออกจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่นเมื่อประมาณ 85 ล้านปีก่อนพร้อมสัตว์อันดับวานร 55 ล้านปีก่อน วิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทลิงสายพันธุ์ต่าง ๆ จนกระทั่งมาเป็นมนุษย์สกุลโฮโมเมื่อประมาณ 2.3 ล้านปี เป็นโฮโม ฮาบิลิส ซึ่งเป็นสายพันธุ์แรกที่ใช้เครื่องมือหิน ต่อมาก็วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์สายพันธ์โฮโม อีเร็คตัสเมื่อประมาณ 1.9 ล้านปีก่อน และมาเป็นโฮโม ซาเปียน (ซึ่งแปลว่ามนุษย์ผู้มีสติปัญญา) ในลักษณะปัจจุบันเมื่อประมาณ 200,000 ปีก่อน และก็วิวัฒนาการต่อมาจนเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

 

ความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันระหว่างมนุษย์ สัตว์ และพืชพันธุ์ต่าง ๆ

หากจะพิจารณาจากทั้งพระคัมภีร์เกี่ยวกับการสร้างโลก สรรพสิ่งและมนุษย์ และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลก จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีบรรพบุรุษร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือพืช หรือเกิดมาจากพระผู้สร้างองค์เดียวกัน

ทั้งมนุษย์ สัตว์ และพืช แตกต่างกันทั้งทางด้านกายภาพ การดำรงชีวิต พฤติกรรม อายุขัย และแม้กระทั่งสติปัญญา ซึ่งสืบเนื่องมาจากวิวัฒนาการไปคนสายตามบริบทที่แตกต่างกันซึ่งสิ่งมีชีวิตนั้นอาศัยอยู่เพื่อให้มีชีวิตรอดและสืบสายพันธุ์ในการดำรงเผ่าพันธุ์ของตนต่อไป แต่สิ่งมีชีวิตทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ และพืช ต่างก็มีธรรมชาติเดียวกันคือดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตรอดและสืบสายพันธุ์ของตน พึ่งพาอาศัยกันและกัน แม้สัตว์บางชนิดรวมทั้งมนุษย์ด้วย จะกินเนื้อของสัตว์อื่นเป็นอาหาร แต่สัตว์กินเนื้อทั้งหลายล่าเพื่อการดำรงชีวิต ในขณะที่มนุษย์กินเนื้อมิเพียงแค่การดำรงชีวิตเท่านั้น แต่ยังเพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่มีสิ้นสุดด้วย แม้จะต้องถึงกับการทำลายสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นทั้งพืชและสัตว์ก็ตาม  สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่าง ๆ ก็เก็บประสบการณ์และความทรงจำของตนไว้ในดีเอ็นเอ ซึ่งสืบทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน  โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างก็ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยอากาศ น้ำ และอาหารอื่น ๆ ตามลักษณะสายพันธุ์ของตน  สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างก็พึ่งพาอาศัยกัน เช่นช่วยในการสืบสายพันธุ์ เหมือนผึ้งที่ช่วยในการผสมเกสร หรือนกช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์  พืชให้ที่อยู่อาศัยแก่บรรดาสัตว์และนก  พืชเป็นอาหารของพืชและสัตว์ และสัตว์ก็ให้อาหารแก่พืชด้วยการถ่ายมูลหรือเมื่อตายไปก็เป็นปุ๋ย และเป็นอาหารให้แก่สัตว์กินเนื้อประเภทอื่น  ทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหารให้มนุษย์  พืชยังได้ปล่อยก๊าซออกซิเจนในตอนกลางวัน ซึ่งเป็นก๊าซที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  นอกจากนั้น หากมนุษย์ไม่มองสัตว์ต่าง ๆ เป็นศัตรูแล้ว มนุษย์ยังสามารถเป็นมิตรกับสัตว์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ที่มนุษย์เป็นมิตรกับสัตว์ร้าย เช่น สิงโต เสือ ลิง หมี ปลา สุนัข แมว นก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะมีมนุษย์เท่านั้นที่ไม่ได้เอื้อเฟื้อต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเลย นอกจากไม่เอื้อเฟื้อแล้ว ยังคุกคามระรานอีกด้วย เช่นการทำลาย ซึ่งได้รับการยืนยันเมื่อเกิดการระบาดของไวรัสวิด 19 เมื่อการท่องเที่ยวหยุดชะงักเป็นระยะเวลายาวนาน ปรากฏว่าฝูงปลาโลมาว่ายเข้ามาใกล้ฝั่งในหลาย ๆ พื้นที่ทั่วโลกมากขึ้น สัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ออกมาหากินตามชายป่าในพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น  นอกจากนั้น การที่ประชาชนทั่วโลกส่วนใหญ่ต้องอยู่กับบ้านมากขึ้น และกิจการการผลิตต่าง ๆ ก็หยุดงานกัน ทำให้สภาพอากาศสดใสมากขึ้น ปริมาณฝุ่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด  ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า มนุษย์นอกจากจะระรานสัตว์และพืชพันธุ์ต่าง ๆ แล้ว ยังมีส่วนทำลายสิ่งแวดตามธรรมชาติ ทำลายอากาศซึ่งเป็นปัจจัยการมีชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง

 

บทสรุป

หากเราต้องการสันติสุข การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ สัตว์ พืชและสิ่งแวดล้อมอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มนุษย์จะต้องเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจ เปลี่ยนทัศนคติ และพฤติกรรมของตนต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทั้งมวล ดูแลเอาใจใส่ และใช้สิ่งสร้างเหล่านี้เพียงเพื่อการดำรงชีพเท่านั้น มิใช่เพื่อมุ่งทำลาย หรือนิ่งดูดายต่อความเสื่อมโทรมของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และสิ่งแวดล้อมของโลก เพื่อเราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนยาวนาน และเพื่อให้ชนรุ่นหลังสามารถมี ชื่นชม และใช้ประโยชน์สิ่งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้ด้วย

แชร์บทความนี้